ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ พ.ศ. 2568
ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเพื่อให้การดำเนินงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของเว็บไซต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สาระสำคัญของประกาศ
การบังคับใช้: ประกาศนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศ ณ วันที่ 16 กันยายน 2568)
ผู้ที่ต้องปฏิบัติตาม:
- กลุ่มที่ต้องปฏิบัติตาม: หน่วยงานของรัฐ, หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล, และหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ
- กลุ่มที่ส่งเสริมให้ปฏิบัติตาม: หน่วยงานเอกชน โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) จะดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้นำไปปรับใช้
ข้อบังคับหลัก: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องประเมินตนเอง (Self-Assessment) อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามแบบฟอร์มที่กำหนด (แบบฟอร์ม ค1) และหากพบข้อบกพร่อง จะต้องจัดทำแผนการปรับปรุง (แบบฟอร์ม ค2)
การรายงานผล:
- ผลกระทบระดับต่ำหรือกลาง: รายงานผลต่อผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานและเก็บไว้เพื่อการตรวจสอบ
- ผลกระทบระดับสูง: รายงานผลต่อผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน, หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล, และส่งสำเนาให้ สกมช.
ขอบเขตของมาตรฐาน
มาตรฐานนี้ครอบคลุมเว็บไซต์ทุกประเภท ทั้งที่อยู่บนระบบขององค์กรเอง (On-Premises), บนระบบคลาวด์ (Cloud Service), และบริการเว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) โดยมีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วนคือ
การกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัย (Governance): การบริหารจัดการ, นโยบาย, และมาตรการควบคุมเชิงบริหารและเทคนิค
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางเทคนิค (Technical Security):
- เครื่องบริการเว็บ (Web Server): ครอบคลุม เว็บไซต์, ซอฟต์แวร์ Web Server, Web Application, ระบบ CMS, ระบบปฏิบัติการ และ SSL/TLS
- เครื่องบริการฐานข้อมูล (Database Server): ครอบคลุม ระบบฐานข้อมูล, ระบบปฏิบัติการ และซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (DBMS)
หมายเหตุ: องค์ประกอบแวดล้อมอื่น ๆ เช่น Firewall, WAF, DNSSEC, EDR ถือเป็นองค์ประกอบนอกขอบเขตที่หน่วยงานควรพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม
ข้อกำหนดหลักของมาตรฐาน
ข้อกำหนดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก โดยอ้างอิงจากกรอบการทำงาน NIST Cybersecurity Framework (CSF 2.0) และประมวลแนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ข้อกำหนดด้านการกำกับดูแล (Website Security Governance)
- บริบทองค์กร: ต้องทำความเข้าใจภารกิจ, ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย, และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยง
- นโยบาย: ต้องกำหนด, ทบทวน, และบังคับใช้นโยบายความมั่นคงปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์เป็นลายลักษณ์อักษร
- การจัดการความเสี่ยง: ต้องกำหนดกลยุทธ์, เกณฑ์ประเมินความเสี่ยง, และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite)
- บทบาทและความรับผิดชอบ: ต้องกำหนดโครงสร้างองค์กร, อำนาจหน้าที่, และความรับผิดชอบที่ชัดเจน
- การวางแผน: ต้องกำหนดความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนจัดทำเว็บไซต์
- แนวทางความมั่นคงปลอดภัย:
-
- ต้องมีแนวทางพื้นฐาน 3 ด้าน: การรักษาความลับ (Confidentiality), ความครบถ้วนสมบูรณ์ (Integrity), และความพร้อมใช้งาน (Availability)
- ต้องมีการจัดการข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Log) ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
- ต้องมีแนวทางการสำรองข้อมูล (Backup) และหลักปฏิบัติในการเลิกใช้งานเว็บไซต์ (Decommissioning)
ข้อกำหนดด้านการดำเนินการและการรักษาความมั่นคงปลอดภัย (Security and Operation)
- การระบุความเสี่ยง (Identification): ต้องมีการจัดการทรัพย์สิน (Asset Management), ประเมินความเสี่ยง, และประเมินช่องโหว่และทดสอบเจาะระบบ (Vulnerability Assessment and Penetration Testing)
- การป้องกันความเสี่ยง (Protection):
- ต้องมีแนวทางการพัฒนา Web Application อย่างมั่นคงปลอดภัย โดยอาจพิจารณาใช้หลักการ DevSecOps และปัจจัยเสี่ยงของ OWASP
- ต้องออกแบบสถาปัตยกรรมเว็บไซต์อย่างมั่นคงปลอดภัย เช่น การแบ่งส่วนเครือข่าย
- ต้องมีการควบคุมการเข้าถึง (Access Control), ทำให้ระบบมีความแข็งแกร่ง (System Hardening), และสร้างความตระหนักรู้ให้บุคลากร
- ต้องพิจารณาใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication: MFA)
- การตรวจสอบและเฝ้าระวัง (Detection): ต้องมีกระบวนการตรวจสอบและเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์
- การเผชิญเหตุ (Response): ต้องจัดทำแผนการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์สำหรับเว็บไซต์ (Incident Response Plan) และมีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ
- การฟื้นฟู (Recovery): ต้องจัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP)
ภาคผนวก
เอกสารประกอบด้วยภาคผนวก 3 ส่วน ได้แก่:
ภาคผนวก ก และ ข: ข้อเสนอแนะและคำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับข้อกำหนดในแต่ละหัวข้อ
ภาคผนวก ค: แบบฟอร์มที่ใช้ในการตรวจสอบและรายงานผล ได้แก่
- แบบฟอร์ม ค1: แบบตรวจรายการเพื่อตรวจสอบสถานะความมั่นคงปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์
- แบบฟอร์ม ค2: แบบรายงานการแก้ไขรายการที่ยังต้องปรับปรุง